วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สถิติการศึกษาไทย

โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 




มีผู้สนใจเรื่องการศึกษาซึ่งเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของบ้านเมืองเรา แต่อาจขาดข้อมูลตัวเลขซึ่งอยู่ในที่เดียวกันที่จะทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น วันนี้ขอนำเสนอตัวเลขสำคัญเหล่านั้น

ขอเริ่มที่ตัวเลขล่าสุดของขนาดโรงเรียนซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของบ้านเรา จำนวนโรงเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั้งหมดมี 31,508 โรงเรียน (ประถม 29,054 มัธยม 2,361 ศึกษาสงเคราะห์ 50 และศึกษาพิเศษ 43)

ขนาดของโรงเรียนมีดังนี้ จำนวนนักเรียนต่ำกว่า 120 คน มีอยู่ 14,397 โรง (ร้อยละ 46) ถ้าดูย่อยลงไปก็พบว่าโรงเรียนที่ปัจจุบันไม่มีนักเรียนแล้ว 137 โรง โรงเรียนที่มีนักเรียน 1-20 คน มีจำนวน 444 โรง นักเรียน 21-40 คน 1,967 โรง นักเรียน 41-60 คน 3,082 โรง นักเรียน 61-80 คน 3,355 โรง นักเรียน 81-100 คน 3,040 โรง และนักเรียน 101-120 คน 2,372 โรง

เหตุที่บ้านเรามีจำนวนโรงเรียนมากมายขนาดนี้ก็เพราะในสมัยก่อนนักเรียนอยู่ในที่กันดาร เด็กต้องเดินเท้ากันไกลจึงต้องเปิดโรงเรียนจำนวนมาก อย่างไรก็ดี เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น "ถนนดำ" ไปถึงกันทั่ว

แต่โรงเรียนเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ไม่มีการยุบรวมตามที่ควรก็เพราะเป็นความภูมิใจของชาวบ้าน และหากยุบไปผู้อำนวยการโรงเรียนก็ไม่มีตำแหน่ง อย่างไรก็ดี มันทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรเป็นอันมากทั้งจำนวนครู (ปกติแต่ละโรงเรียนควรมีครูครบทั้ง 8 คนตาม 8 สาระการเรียนรู้) การนิเทศ การดูแลกำกับ ค่าดูแลรักษา ฯลฯ
สำหรับโรงเรียนเล็กนั้นถ้ามีชุมชนเข้มแข็ง มีผู้อำนวยการเก่ง มีองค์กรปกครองท้องถิ่นสนับสนุน ฯลฯ ก็จะเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพได้ แต่โดยทั่วไปมีปัญหาด้านคุณภาพจนเป็นตัวฉุดให้ค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบของเด็กทั้งประเทศต่ำลง

ในปีงบประมาณ 2553 รัฐจ่ายเงินด้านการศึกษาสูงสุดคือประมาณ 400,000 ล้านบาท (ร้อยละ 23.7 ของงบประมาณทั้งหมด) ในจำนวนนี้ร้อยละ 75.5 จ่ายให้โรงเรียนระดับก่อนประถม ประถม และมัธยมศึกษา
คราวนี้มาดูจำนวนนักเรียนกันบ้าง ในปีการศึกษา 2552 ซึ่งเป็นสถิติล่าสุด ทั้งประเทศมีนักเรียนและนักศึกษารวมกันประมาณ 15 ล้านคน เป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12.6 ล้านคน (2.7 ล้านคนก่อนประถม 5.2 ประถม 4.7 มัธยม) อุดมศึกษา 2.4 ล้านคน (อนุปริญญา 0.4 ล้านคน ปริญญาตรี 1.8 ปริญญาโท 0.2 ปริญญาเอก .02 ล้านคน)

ตัวเลขที่น่าสนใจมากก็คือในจำนวนเด็ก 100 คน ที่เข้าเรียนประถมหนึ่ง ในปีการศึกษา 2541 เมื่อเรียน ม.1 จะเหลือ 85.6 คน เมื่อเรียน ม.3 จะเหลือ 79.6 คน เมื่อเรียน ม.4 และ ปวช. ปี 1 จะเหลือ 68.4 คน เมื่อเรียน ม.6 และ ปวช.ปี 3 จะเหลือเพียง 54.8 คน

ตัวเลขนี้แสดงว่าจากเด็ก 100 คน ที่เข้าเรียนแต่แรกจะเหลือเมื่อเรียนปีสุดท้ายของการเรียน 12 ปี เพียง 54.8 คนที่เหลือ 45.2 คน หายหกตกหล่นระหว่างช่วง 12 ปี ของการเรียนหนังสือขั้นพื้นฐาน
สำหรับจำนวนนักศึกษาระดับอุดมศึกษาในปีการศึกษา 2552 รวมทั้งหมด 2,398,454 คนนั้น อยู่ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) 1,733,443 คน ซึ่งประกอบด้วยสถาบันของรัฐจำกัดรับ (ทบวงเดิม) 316,345 คน มหาวิทยาลัยราชภัฏ 485,880 คน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 155,046 คน มหาวิทยาลัยไม่จำกัดรับ 508,701 คน มหาวิทยาลัยในกำกับ 224,802 คน มหาวิทยาลัยสงฆ์ 29,134 คน (อย่าตกใจครับ ในจำนวนนี้มีนักศึกษาหญิง 7,907 คน มีการสอนปริญญาตรีและโทหลากหลายด้านที่ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา) วิทยาลัยชุมชน 13,535 คน (19 แห่ง) ส่วนสุดท้ายคือสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีนักศึกษา 303,790 คน

ส่วนที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เช่น โรงเรียนอาชีวะที่สูงกว่า ปวช.ของเอกชน) 122,447 คน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา 225,097 คน (ประมาณกว่าร้อยละ 60 เรียนพาณิชย์ระดับ ปวส.)

ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมมีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ของกรมศิลปากร รวม 2,988 คน สถาบันการพลศึกษาในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยว 10,568 คน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย 121 คน

รวมทุกกระทรวงแล้วมี 2,398,454 คน

ในปีการศึกษา 2551 มีผู้สำเร็จการศึกษาอุดมศึกษา รวม 532,870 คน โดยจบต่ำกว่าปริญญาตรี (ปวส. อนุปริญญา) 143,041 คน ปริญญาตรี 311,377 คน และสูงกว่าปริญญาตรี 78,452 คน (ปริญญาเอก 1,641 คน ปริญญาโท 57,324 คน และประกาศนียบัตรบัณฑิต 19,487 คน)

สำหรับผู้เข้าเรียนระดับอุดมศึกษา ในปีการศึกษา 2552 ตัวเลขมีดังนี้ เข้าเรียนทั้งหมด 875,797 คน โดยเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ 593,301 คน ซึ่งประกอบด้วยมหาวิทยาลัยจำกัดรับ (ทบวงเดิม) 101,916 มหาวิทยาลัยราชภัฏ 178,136 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 56,608 มหาวิทยาลัยไม่จำกัดรับ 167,552 มหาวิทยาลัยในกำกับ 70,795 คน มหาวิทยาลัยสงฆ์ 11,338 วิทยาลัยชุมชน 6,956 และอีกส่วนคือสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 107,178 คน

โรงเรียนอาชีวะเอกชน (ปวส. อนุปริญญา) 61,280 คน และโรงเรียนอาชีวะของรัฐ (ปวส. อนุปริญญา) 109,380 คน สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กรมศิลปากร 870 คน สถาบันพลศึกษา 3,713 และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น 75 คน รวมทุกกระทรวง 875,797 คน

จำนวนผู้เรียนการศึกษานอกระบบโรงเรียนในปีการศึกษา 2552 มีจำนวนรวม 5,608,715 คน โดยแยกเป็นผู้เรียนสายสามัญศึกษา 2,072,143 คน และเรียนในสายอาชีพ 2,452,257 คน

ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดคือจำนวนนักเรียนเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษาในปีการศึกษา 2552 มีรวมทั้งสิ้น 3,183,006 คน ในจำนวนนี้มีเด็กยากจนมากสุดคือ 2,978,770 คน เด็กถูกทอดทิ้ง 88,730 คน ชนกลุ่มน้อย 42,856 คน เด็กถูกผลกระทบจากโรคเอดส์ 7,139 คน ที่เหลือได้แก่เด็กถูกบังคับให้ขายแรงงาน เด็กอยู่ในธุรกิจทางเพศ เด็กในสถานพินิจ เด็กเร่ร่อน เด็กที่ถูกทำร้าย เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด และ อื่นๆ

ในสถานการณ์ประชากรของไทยที่มีเด็กเกิดน้อยลงทุกที เช่น จากเกิดปีละเกิน 1 ล้านคนมาตั้งแต่เมื่อ 48 ปีก่อนและต่อเนื่องมาตลอด จนเมื่อ 13 ปีก่อนลดลงเหลือปีละ 990,000 คน และลดลงเหลือ 780,000 คน ในปี 2552 ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับตัวในด้านการจัดการการศึกษาอย่างสำคัญเมื่อคำนึงถึงจำนวนผู้เข้าเรียนที่น้อยลงทุกที
ขอบคุณผู้แนะนำ : อ.หยกแก้ว กมลวรเดช
ขอบคุณข้อมูล : มติชนออนไลน์

ประเภทของฟิลด์ต่าง ๆ ใน Access


ประเภทของฟิลด์ต่าง ๆ ใน Access
1. Text คือตัวอักษรต่าง ๆ ที่ไม่ได้นำไปคำนวน เช่น ชื่อ นามสกุล เบอร์โทร รหัสบัตรประชาชน

Q : ทำไมเบอร์โทรมันเป็นตัวเลขนิทำไมต้องเก็บเป็น Text ทำไมไม่เก็บไว้เป็น Number ?
A : เพราะว่าการเก็บแบบ TEXT จะเก็บทุกตัวอักษร คือ 081-1111111 ก็จะยังคงอยุ่
      หากเป็น NUMBER มันจะลดเหลือแค่ 811111111 เท่านั้น ดังนั้นข้อมูลที่เป็นตัวเลขไม่ได้เอามาคำนวนควรจะเก็บไว้เป็น TEXT

Q : แล้วถ้าจำเป็นต้องเอาข้อมูลตัวเลข Text ไปคำนวนละ ?
A : มันมีคำสั่งแปลงค่าอยู่แล้ว หากจำเป็นต้องใช้ ก็ใส่คำสั่ง SQL ไปได้

2. Memo หรือความจำ  เป็นข้อมูลแบบข้อความแบบยาว ที่ประกอบด้วยตัวอักษรหรือตัวอักษรกับตัวเลข(ที่ไม่ใช่ข้อมูลแบบไบนารี) จำนวนไม่เกิน 65535 ตัวอักษร

3. Number คือตัวเลข เก็บได้ทั้งจำนวนเต็มและจำนวนทศนิยม
   ประเภทของ Number

  • Byte เป็นข้อมูลที่เป็นตัวเลข 0 ถึง 255 ไม่มีทศนิยมหรือเศษส่วน ใช้หน่วยความจำ 1 byte
  • Integer เป็นเลขจำนวนเต็ม  จาก -32,768 ถึง 32,767 ใช้หน่วยความจำ 2 bytes
  • Long Integer เลขจำนวนเต็มอย่างยาว แทนจำนวนจาก –2,147,483,648 ถึง 2,147,483,647 ใช้หน่วยความจำ 4 bytes
  • Single เป็นตัวเลขที่กำหนดหลังจุดทศนิยมได้ 7 ตำแหน่ง มีค่าระหว่าง –3.402823 x 1038  ถึง  –1.401298 x 10-45  เมื่อเป็นค่าลบ และระหว่าง 1.401298 x 10–45 ถึง 3.402823 x 1038  เมื่อเป็นค่าบวก  ค่านี้ใช้หน่วยความจำ 4 bytes
  • Double  เป็นตัวเลขที่มีตัวเลขหลังจุดทศนิยมได้ถึง 15 ตำแหน่ง มีค่าอยู่ระหว่าง  –1.79769313486231x 10308  ถึง  –4.94065645841247 x 10–324  เมื่อเป็นค่าลบ  และอยู่ระหว่าง 4.94065645841247 x 10–324   ถึง 1.79769313486231 x 10308 เมื่อเป็นค่าบวก ใช้หน่วยความจำในการเก็บ 8 bytes
  • Decimal   ในไฟล์ .mdb ใช้เก็บตัวเลขที่มีค่า อยู่ระหว่าง  –1028 – 1   ถึง  1028 – 1  ใช้ทศนิยมได้ถึง 28 ตำแหน่งใช้หน่วยความจำ 12 bytes
  • Replication ID  ใช้หน่วยความจำ 16 bytes

4. Date-time คือ การเก็บวันเวลา ค่าเริ่มต้นจะอยู่ในรูปแบบ DD/MM/YYYY

5. Autonumber คือ การให้แฟ้มข้อมูลสร้างฟิลด์ใหม่โดยเรียงลำดับตัวเลขไปเรื่อย ๆ ครั้งละ 1 ค่า

วิธีเชื่อมความสัมพันธ์ Access

คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยายได้
1. พิมพ์ชื่อของระบบที่เราต้องการจะทำ


2.คลิ๊กที่มุมมอง


3. จะได้กล่องข้อความให้บันทึกชื่อตาราง
พี่เลือกจะสร้างตารางลูกค้าก่อน ก็พิมพ์ "ลูกค้า"ลงไป




4.พิมพ์ฟิลด์ที่สำคัญ ๆ เลือกประเภทของชนิดข้อมุล จากนั้นพิมพ์คำอธิบาย
หลังจากพิมพ์เสร็จแล้วววว ให้ไปที่สร้าง

5.สร้างตาราง

6.สร้างตาราง "รถยนต์"


7.พิมพ์ข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นลงไป
จากนั้นเลือกสร้างอีกรอบ


8.สร้างตารางใหม่ขึ้นมาชื่อตาราง "พนักงาน"


9.พิมพ์ "พนักงาน" จากนั้นตกลง

10.พิมพ์ฟิลด์ต่าง ๆ ลงไปและเลือกประเภทของฟิลด์ลงไป
(ในรูป วันเดือนปีเกิดผิด ที่ถูกต้องคือ "Date/Time") จากนั้นไปที่สร้างตารางอีกรอบ


11.สร้างตารางการขายรถยนต์




12.ในตารางรถยนต์จะต้องมีคีย์หลักที่เป็น AutoNumber เพราะว่าการขายนั้นจะต้องเรียงลำดับไปเรื่อย ๆ
ต่อมาคือ สร้างฟิลด์ที่มี "ชื่อและประเภท" เหมือนกับคีย์หลักทั้ง 3 ตาราง



13. ไปที่เครื่องมือฐานข้อมูล >>>>> ความสัมพันธ์
ปล..... เซฟงานก่อนเชื่อมความสัมพันธ์นะ.....

14.กดเพิ่มทุกตารางงงง

15. จะได้ตารางที่เลือกมา 4 ตาราง  จากนั้นใ้ห้เรียงตารางหลัก ไว้ตรงกลางง
แล้วลากคีย์หลักของตารางอื่น ๆ มาใส่ในตารางหลัก

16.เมื่อลากมาเรียบร้อยแล้ว จะขึ้นหน้าต่างการแก้ไขความสัมพันธ์ขึ้นมา
"""""เราจะต้องสังเกตุว่าชื่อฟิลด์ทั้งสองฝั่งต้องเหมือนกัน """""



17.เราก็ได้เส้นแบบนี้มา นั้นแสดงว่าเราได้เส้นมาเรียบร้อยแล้ว


วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ปรัชญาและความจริง


   Three sentences for getting success:

           a) know more than other
           b) work more than other
           c) expect less than other.


William Shakesphere   





 If you make money your god, it will plague you like the devil. 
Henry Fielding

If you born poor it’s not your mistake, But if you die poor it’s your mistake.
Bill Gates 

ผู้หญิงที่มีแต่ “ความสวย”

ผู้หญิงที่มีแต่ “ความสวย” แต่ “ไม่มีสมอง”
ผู้ชายก็คงมองคุณเพียงแค่ “ของหวาน”
แต่ไม่ใช่ “อาหารจานหลัก”

ความกตัญญูไม่ใช่ส่วนเติมเต็ม ให้เป็นคนดีโดยสมบูรณ์

ความกตัญญูไม่ใช่ส่วนเติมเต็ม
ให้เป็นคนดีโดยสมบูรณ์
แต่มันเป็นพื้นฐานของคนดี
ถ้าหากไม่มีสิ่งนี้ตั้งแต่ต้น
คุณก็ไม่มีทางเป็นคนดีที่สมบูรณ์ได้

ติดกระดุมเม็ดแรกผิด

ถ้าเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด
เม็ดต่อไป….มันก็ผิดหมด

ซื้อแต่ของไม่จำเป็น

ถ้าคุณ ” ซื้อ ” > แต่ สิ่งของที่ ” ไม่จำเป็น ”
ในไม่ช้า , คุณก็ต้อง ” ขาย ” > สิ่งของ ..ที่คุณ ” จำเป็น “
- วอร์เรน บัฟเฟตต์ -

การยอมแพ้ไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอเสมอไป

“การยอมแพ้ไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอเสมอไป
บางครั้งมันหมายความว่าคุณเข้มแข็ง
ที่จะปล่อยให้บางอย่างผ่านไป”

วิธีที่ดีที่สุดในการทำนายอนาคต

The best way to predict the future is to invent it.
“วิธีที่ดีที่สุดในการทำนายอนาคตก็คือ การสร้างมันขึ้นมา”
Alan Kay

การแก้แค้นจะยิ่งทำให้คนอื่นยิ่งแค้นใจ

การแก้แค้นยิ่งทำให้คนอื่นยิ่งแค้น
แต่การให้อภัย ทำให้คนอื่นสำนึกได้

แสงแดดทำให้คนถอดเสื้อผ้าได้เร็วกว่ากระแสลม

“แสงแดดทำให้คนถอดเสื้อผ้าได้เร็วกว่ากระแสลม
ไมตรีจิตและมิตรภาพ ก็เปลี่ยนใจผู้คนได้ง่ายกว่าความรุนแรงใดๆทั้งปวง”
…เดล คาร์เนกี้ – นักเขียน นักพูด

เสียดายที่ไม่กล้าขอเบอร์

“เสียหน้า” ที่ขอแล้วไม่ได้เบอร์
ดีกว่า “เสียดาย” ที่ไม่กล้าแม้แต่จะลอง
(Premchai P. Dsru Limkitticharoen)

คำคม ดาไลลามะ

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคดูแลผม


 

ผมมัน
คุณต้องสระผมบ่อยๆ แต่ไม่ต้องใช้ครีมนวดมาก หรือไม่ต้องใช้เลยได้ก็ดี แต่บางคนติดที่จะ
ใช้ก็ควรใช้แต่น้อย ไม่ต้องนวดหนังศีรษะมากนักเพราะการนวดจะเป็นการกระตุ้นต่อมไขมันให้
ผลิตน้ำมันออกมา ทำให้ผมมันเหนอะหนะเร็วขึ้น
ผมแห้งต้องบำรุงด้วยครีมนวดหลังสระ ไม่ควรไว้ผมให้ยาวมาก แต่หากชอบไว้ผมยาว ควรหมั่น
เล็มผมที่แห้งแตกปลายสม่ำเสมอ และไม่ควรดัดหรือไดร์บ่อยนักเพราะน้ำยาดัดและความร้อน
จะทำให้ผมของคุณแห้งกร้านมาก
ผมร่วง อาการผมร่วงอาจเกิดจากขาดสารอาหารบางอย่างหรือเกิดจากความเครียด หรือไม่ก็มีความ
ผิดปกติในเซลล์หนังศีรษะ ถ้าร่วงมากจนผิดปกติ ควรให้แพทย์ดูแลรักษาดีกว่าหายามาใช้เอง
ผมแตกปลายเกิดจากผมที่แห้ง หรือการไว้ผมยาวเกินกว่าที่น้ำมันจากรากผมจะส่งมาหล่อเลี้ยงถึง ฉะนั้น
คุณควรเล็มปลายผมหรือตัดสั้นแล้วค่อยเลี้ยงใหม่ หมั่นบำรุงด้วยการหมักทรีทเม้นท์ อบไอน้ำ
และนวดเส้นผมด้วยน้ำมันมะกอกเสมอ จะทำให้ผมชุ่มชื่นเงางาม 
แหล่งที่มา: women

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิตามินนั้น สำคัญไฉน


วิตามินคืออะไรวิตามินเป็นสารอินทรีย์ที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยแต่มีความจำเป็น ต่อการทำงานของร่างกายนับตั้งแต่การหายใจของเซลล์ การนำโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรท ไปใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อและผลิตพลังงานสำหรับการดำรงชีวิต

นอกจากนั้นวิตามินยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่นการสร้างเม็ดเลือดแดง,การแข็งตัวของเลือด,การสร้างกระดูก การมองเห็นและการทำงานของระบบประสาท วิตามินจึงเป็นตัวจักรเล็กๆแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งซึ่งร่างกายจะขาดเสียไม่ได้

บุคคลที่ปรารถนาจะมีสุขภาพแข็งแรงจึงควรได้รับวิตามินอย่างเพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกายซึ่งจะเห็นได้ว่าตรงกับความหมายของวิตามิน (Vitamin)ซึ่งมาจากคำว่าVitaหมายถึงชีวิตรวมกับคำว่าAmin จึงหมายถึง สารอินทรีย์ที่สำคัญต่อชีวิต (Vita for life)
หากร่างกายขาดวิตามิน ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินขึ้นเองได้ หรือสร้างได้เพียงเล็กน้อย (วิตามินD)ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินต่างๆผ่านทางอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน

หากร่างกายได้รับวิตามินไม่เพียงพอกับความต้องการ จะส่งผลให้สุขภาพเสื่อมลง และเมื่อได้รับไม่เพียงพอติดต่อกันไปนานๆจะส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติได้

วิตามินบี12 จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือด การทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง และการดูดซึมของทางเดินอาหาร อาการที่ปรากฏเมื่อขาด โลหิตจาง อ่อนเพลีย ความบกพร่องของระบบประสาทส่วนกลาง วิตามินบี 12 พบมากใน เนื้อสัตว์นม เนย 
วิตามินเอ มีหน้าที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อช่วยการมองเห็น ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อผิวหนัง อาการที่ปรากฎเมื่อขาด ติดเชื้อง่ายขึ้น มองไม่เห็นในที่มืด ผิวหนังแห้ง ลอกหลุดเป็นแผ่น วิตามินเอพบมากใน ผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง ตับ ไข่ นม และเนย
วิตามินบี1 ช่วยเสริมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไปใช้เป็นพลังงาน มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท หัวใจ และทางเดินอาหาร อาการที่ปรากฏเมื่อขาด เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย ชาตามมือและเท้าแขนขาไม่มีแรง วิตามินบี 1 พบมาใน ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ ถั่วต่างๆ งา ตับ
วิตามินบี2 เกี่ยวข้องในการหายใจของเซลล์ กระบวนการมองเห็น หน้าที่ของผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ อาการที่ปรากฏเมื่อขาด ผิวหนังอักเสบแผลที่มุมปาก หรือปากนกกระจอก วิตามินบี 2 พบมากในนม ไข่ เนื้อสัตว์ ตับ ผักใบเขียว
วิตามินบี6 การทำงานของระบบประสาท การสร้างเม็ดเลือด ช่วยรักษาสภาพผิวหนังให้เป็นปกติ อาการที่ปรากฏเมื่อขาด อ่อนเพลีย โลหิตจาง ชาปลายมือปลายเท้า วิตามินบี 6 พบมากใน เนื้อสัตว์ ผักต่างๆ ปลา และยีสต์ 

วิตามินซี ช่วยสร้างภูมิต้านทานแก่ร่างกาย การสร้างผิวหนัง กระดูก ฟันและหลอดเลือด อาการที่ปรากฏเมื่อขาด แผลหายช้า เลือดออกง่าย ฟันหลุดร่วงได้ง่าย วิตามินซีพบมากใน ผลไม้สดและผักสด
วิตามินดี ช่วยการดูดซึมแคลเซียมซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเจริญของกระดูกและฟัน อาการที่ปรากฏเมื่อขาด ปวดเมื่อย ปวดข้อและกระดูกอ่อน วิตามินดีพบมากใน ตับ เนื้อสัตว์ นม ไข่ เนย
วิตามินอี จำเป็นต่อการเจริญและพัฒนาของเซลล์ประสาท เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการแตกสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ อาการที่ปรากฏเมื่อขาด มีผลเสียต่อระบบกล้ามเนื้อประสาท หัวใจ และหลอดเลือด วิตามินอีพบมากใน น้ำมันพืช ถั่วต่างๆ ผักเขียวปนเหลือง 
กรดแพนโทธีนิค การทำงานของเนื้อเยื่อผิวหนัง คุณภาพของผม อาการที่ปรากฏเมื่อขาด ผมร่วง แผลหายช้า กล้ามเนื้อล้า กรดแพนโทธีนิคพบมากใน ไข่แดง ตับ ยีสต์ ผักใบเขียว




ลองสังเกตดูว่า ในมื้ออาหารแต่ละวันนั้น เราขาดวิตามินอะไรบ้าง แล้วรีบทานเสริมให้ครบ ก่อนที่ร่างกายจะประท้วงด้วยอาการเจ็บป่วยนะจ๊ะ



แหล่งที่มา : นิตยสาร ELLE

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีทำให้ผมยาวเร็วขึ้น




ใครที่ผมสั้นแล้วต้องการให้ผมยาวเร็วขึ้น วันนี้มีวิธีมาบอก...

- ออกกำลังกายให้เส้นผม

เร่งให้ผมยาวด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้ 30 วินาที ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย

- เพิ่มโปรตีน 
โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้

- กินปลา

ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย

- เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม

การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ

- แปรงให้ถูก

หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซีกใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน

- ตัดผมบ้าง

การเล็มผมบ่อย ๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น และยังถือว่าเป็นการกำจัดผมแตกปลายไปในตัวด้วย

- ต่อผมก็ได้ 
ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์จะดีกว่า

Credit : WWW.teenee.com

ถ้าสิ่งของพูดได้ มันจะพูดว่าอะไร ????

กระทะ - เปิดไฟเบา ๆ หน่อย..ร้อนนะโว้ย

โถส้วม - พี่ ๆ เสร็จแร้วราดน้ำด้วยสิพี่..เหลืองเชียว
ผักน่ะหัดกินซะมั่ง

ไฟฉาย - วันไหนที่เธอหมดหนทางสว่าง (ไฟดับ)
ขอให้เธอคิดถึงฉันเป็นคนแรก

ยกทรง เฮ้ย ๆ..จะเอาฟองน้ำมายัดทำมัยวะ...ยอมรับความจริงหน่อยดิ

โทรศัพท์ - หนวกหูว่ะ..พูดอยู่ได้ ปากก้อเหม็น
แม่งอย่างกะไปอมหมาเน่ามา

กล้องถ่ายรูป - หน้าเห่ย ๆ ทำท่าไหนก็ไม่สวยหรอกโว้ยย

นาฬิกา - เวลาไปไม่ทันนัด..โทษว่ากรูเสีย อ้ายบ้า!!
ให้กรูเป็นแพะรับบาปแทนเมิงอยู่เรื่อย

โลงศพ - สุดท้ายพวกเมิงก็มานอนกับกรู

เข็มทิศ -หลงทางสิเมิง!!

แก้ว - จับเบา ๆ หน่อยสิ แตกเมื่อไหร่เมิงเจ็บ

ผ้าเช็ดหน้า - น้ำตาพอไหว น้ำหมากน้ำลายน้ำมูก..ไม่เอานะเว้ยย

กระสอบทราย - ผมไปทำอะไรให้พี่เจ็บแค้นนักหนาเนี่ย

กีตาร์ - เล่นไม่ดีมาโทษกรูว่าสายเพี้ยน

ลูกฟุตบอล - เล่นกันจนผมเวียนหัวแร้วโว้ย...โยนกันไปกันมาอยู่ได้
อยากได้กรูชั่วครั้งชั่วคราวทั้งนั้น เชยชมสมเท้าแร้วก็เตะกรูส่ง..เวร

มีด - หั่นหมู..หั่นผัก ง่ายดาย แต่หั่นเธอออกจากใจ..ยากจัง

ผ้าเช็ดหน้า 2 - เข้าใจแร้วครับว่า..หมาตายในปากเป็นไง

พัดลม - เมิงเย็น..กรูร้อน

แอร์ - บิลค่าไฟมา โทษกรูทั้งปี

น้ำแข็ง - แค่เธอเอามือมาจับตัวฉัน ฉันก็แทบจะละลายคามือเธอแร้ว
ละลายในปาก..แระละลายในมือ

รองเท้า -เดินดูทางหน่อยสิวะ..เหยียบขี้หมาจนได้ ซวยเลยกรู..เต็ม ๆ
เลยเมิง แต่เต็มหน้ากรู!!

กระจก - อินี่บ้าหรือเปล่า มาถามอยู่ได้..ว่าใครงามเลิศในปฐพี

CD - แผ่นก๊อป..เราเป็นได้แค่ตัวแทนของใครบางคน
ไม่ใช่ตัวจริง..แต่ราคาถูกกว่า

หนังสือโป๊ - ช่วยเช็ดน้ำลายออกจากตัวผมด้วยครับ

ลูกอม - เทคนิคการใช้ลิ้นของเขา..เล่นเอาฉันละลายไปเลย

เข็มฉีดยา - ไม่ต้องกลัวนะที่รัก มันเจ็บเหมือนมดกันเอง

เข็มฉีดยา 2 -อ้ายเด็กเวงนี่..ร้องอยู่ได้จะกลัวทำมายแค่เข็ม
แม่เมิงตีเจ็บกว่ากรูอีก

ปฏิทิน - เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน แค่ปีเดียวเองนะครับ..ฉีกกรู กรูต่อย!!

หวี - ลุง..มีแค่นี้เอามือลูบก็ได้

เก้าอี้ - โอ้ว..ก้นช้างหรือคนวะเนี่ย

รีโมท - เราอยู่ในภาวะที่โดนกดดันอย่างหนัก
ลูกไก่ในกำมือชัด ๆ ทะเลาะกันทีไร..เขวี้ยงกรูทิ้งทุกที

กลอง- เฮ้ย ๆ เมิงอ่ะมัน แต่กุอ่ะเจ็บน่ะ เอาเข้าไป

จอคอมพิวเตอร์ ...... จ้องอยู่ได้ !!!! เขิลลลลลลล์นะ 

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สีปัสสาวะบอกเหตุ


ปฏิกิริยาหรืออาการต่างๆ ที่ร่างกายแสดงออก เป็นเสมือนสัญญาณเตือนให้รู้ว่า ร่างกายกำลังเผชิญอยู่กับสิ่งผิดปกติอะไรสักอย่าง ฉะนั้นการสังเกตตัวเองอยู่เสมอก็เป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่พึงกระทำ เพราะหากพบความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ก็จะได้รับมือหรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที อะไรที่จะหนักก็จะได้บรรเทาเบาบางลง

สีของปัสสาวะก็อาจบอกให้รู้คร่าวๆ ได้ว่าร่างกายของปกติดีอยู่หรือไม่ ลองมาตรวจร่างกายตัวเองกันหน่อยดีไหม...เอาแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แค่ลองสังเกตสีปัสสาวะของตัวเองดู


ปัสสาวะออกมาเป็นสีอมแดง

หากปัสสาวะออกมาเป็นสีนี้ต้องลองนึกให้ออกว่าได้รับประทานอาหารอะไรที่เป็นสีทำนองนี้หรือเปล่า เช่น แบล็คเบอร์รี่หรือผักกาดม่วง แต่ถ้าแน่ใจว่าไม่ได้กินอะไรใกล้เคียงกับสีแดงเลย ก็อาจเป็นลางร้าย เพราะสีแดงนั้นอาจจะเป็นเลือดที่ขับออกมาจากไตหรือกระเพาะปัสสาวะอาจอักเสบ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรในร่างกายที่ฉีกขาดเป็นแน่ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาล 

มองได้ 2 อย่างคือ อาจจะเกิดจากการรับประทานถั่วในปริมาณที่มาก หรือว่าอาจจะเป็นลิ่มเลือดที่ปนออกมาก็ได้ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ดีกว่า

ปัสสาวะออกเป็นสีเหลือง 

ถ้าปัสสาวะออกเป็นสีเหลืองอ่อนเป็นไปได้ว่าวันนั้นร่างกายจะได้รับวิตามินบี 2 มากเกินความต้องการจนต้องขับออกมา แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มก็หมายความว่า คุณดื่มน้ำน้อยเกินไปแล้ว แต่ถ้ามั่นใจว่าดื่มน้ำเยอะแล้วแต่ทำไมปัสสาวะยังเป็นสีเหลืองเข้มอยู่เหมือนเดิม ก็คงต้องรีบปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีโรคไตแฝงมาแล้วก็ได้

ปัสสาวะมีสีขุ่น 

ในผู้ที่ปัสสาวะสีขุ่นให้ลองดื่มน้ำส้มดูว่าหายหรือไม่ ถ้าไม่หาย อาจเนื่องมาจากติดเชื้อบางอย่างก็ได้ อาการอย่างนี้ควรปรึกษาแพทย์

ปัสสาวะมีสีส้ม 

อาจเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโพรีเดียมที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน 

ถ้าปัสสาวะมีสีอย่างนี้ ไม่ต้องแปลกใจ โดยเฉพาะหากคุณทานยาแก้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะในยามีส่วนผสมของสารเมธีลีน และขับออกมาทางปัสสาวะ ปัสสาวะจึงมีสีออกฟ้าๆ

เข้าห้องน้ำคราวนี้ อย่าลืมสังเกตดูสีปัสสาวะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ไม่ควรมองข้าม สังเกตตัวเองนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นผลดีกับสุขภาพร่างกาย 

ดื่มน้ำเย็นขณะออกกำลังกาย ก็มีข้อดี




         อุณหภูมิเครื่องดื่มที่ร่างกายควรได้รับระหว่างการออกกำลังกาย หรือหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมการออกกำลังกายแล้ว ซึ่งได้มีงานวิจัยพิสูจน์ว่า การที่ร่างกายได้ดื่มเครื่องดื่มที่เย็นกว่าอุณหภูมิปกติสามารถช่วยคืนความสดชื่นให้กับร่างกายของผู้เล่นกีฬาได้ดีกว่าเครื่องดื่มอุณหภูมิปกตินักวิทยาศาสตร์จาก University of Sydney ประเทศออสเตรเลียได้ทำการทดลองเกี่ยวกับอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับเครื่องดื่มที่ร่างกายควรได้รับระหว่างและหลังออกกำลังกาย โดยได้ค้นพบว่าผู้ที่ออกกำลังกายจะดื่มน้ำมากกว่าปกติถึง 50 เปอร์เซ็นต์ถ้าหากได้ดื่มเครื่องดื่มที่มีอุณหภูมิอยู่ที่ 22 องศาสเซลเซียส หรือเย็นกว่านั้น ซึ่งผลของการค้นคว้าดังกล่าวได้ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสาร International Journal of Sport Nutrition and Exercise Metabolism เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2012 ทั้งนี้ เครื่องดื่มที่ขายอยู่ในตู้แช่เย็นตามร้านค้ามักจะมีอุณหภูมิต่ำกว่า 22 องศาเซลเซียส จึงได้มีคำแนะนำว่าควรนำมาตั้งไว้ให้ความเย็นลดลงจนใกล้เคียงกับอุณหภูมิที่เหมาะสมเสียก่อน
ในปี 2010 ได้มีการทดลองให้ลักษณะเดียวกันและพบว่า การที่ร่างกายได้รับเครื่องดื่มเย็นๆ ระหว่างการออกกำลังกายจะช่วยลดอุณหภูมิบนผิวหนัง ป้องกันร่างกายจากการขาดน้ำ และทำให้ออกกำลังกายได้ดีขึ้น

ดังนั้นน้ำเย็นควรมีอุณหภูมิตั้งแต่ 22 องศาเซลเซียสขึ้นไป

ที่มา ...VoiceTV 

วิธีเพิ่มความจำดีๆ 10 วิธี


“มันน่าประหลาดใจมาก เมื่อเราพบว่าเราจดจำหลายๆอย่างที่เราไม่เคยแม้แต่จะสังเกตุได้” ~ Babara Kingsolver,Animal Dreamsวิธีเพิ่มความจำดีๆ 10 วิธี มาฝากค่ะ
(1). เชื่อมั่น:  การศึกษาทำในคนวัยกลางคนและสูงอายุพบว่า ความจำของคนเราแปรตามความเชื่อมั่น คนเราจะจำอะไรๆ ได้ดีถ้าเชื่อมั่นว่า “เราทำได้”
คนที่มองโลกในแง่ดีและเชื่อว่า ความจำของคนเราไม่ลดน้อยถอยลงไปตามอายุจะมีความจำดีกว่าคนที่คิดว่า “โอ… เราแก่แล้ว จำสู้เด็กๆ ไม่ได้”
(2). ประหยัด:  ทุกวันนี้หน่วยงานดีๆ จะมีกิจกรรม “5ส” เพื่อให้หน่วยงานเป็นระเบียบ ข่าวดีคือ การจัดเรื่องต่างๆ ให้เป็นหมวดหมู่ช่วยป้องกันการลืม
เครื่องมือป้องกันการลืมที่สำคัญได้แก่ ปฏิทิน แผนที่ สมุดวางแผน แผ่นจดรายการของต้องซื้อก่อนไปชอปปิ้ง สมุดจดที่อยู่-เบอร์โทรศัพท์
(3). แบ่งเป็นชุดเล็กๆ:  สมองคนเราจำเรื่องเล็กๆ ได้ดีกว่าเรื่องใหญ่ๆ
ตัวอย่างเช่น ถ้าจะจำตัวเลข 8 หลัก “27984689″

ควรแบ่งเป็น 2 ชุดแบบที่เราใช้จำเบอร์โทรศัพท์ “2798-4789″
เวลาจะจำอะไรก็ควรฝึกจำทีละชุดเล็ก เช่น อ่านหนังสือวันละน้อย ฯลฯ ดีกว่าฝึกจำชุดใหญ่ เช่น อ่านหนังสือรวดเดียวก่อนสอบ ฯลฯ
(4). ใช้ประสาททั้งห้า:  ใช้ประสาททั้งตา หู จมูก ลิ้น และกายที่ประทับใจมากที่สุด เพื่อจดจำเรื่องราว ประทับใจอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องขอ
“เชื่อมโยง” กับประสบการณ์ในอดีตด้วยว่า สัมผัสหรือเรื่องนั้นคล้ายกับอะไรด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าอยากจำรายละเอียดในร้านอาหาร
ให้ ลองสูดหายใจเข้าแรงๆ ได้กลิ่นอะไรให้รีบจำกลิ่น และเชื่อมโยงว่า กลิ่นนี้คล้ายกลิ่นอะไร เช่น คล้ายกลิ่นขนมที่คุณยายทำให้ตอนอายุ 2 ขวบ ฯลฯ
(5). ขยายขอบเขต:   การท่องออกเสียงดังๆ วาดภาพประกอบ บันทึก หรือทำภาพไดอะแกรมเชื่อมโยงกระบวนการเข้าด้วยกัน เช่น แผนภูมิก้างปลา ฯลฯ ช่วยให้จำได้ง่ายกว่าการอ่านในใจเพียงอย่างเดียว
(6). เรียกชื่อ:   คนเราจะจำชื่อคนได้ดีขึ้นถ้าเรียกชื่อคนที่เราเห็นทุกครั้ง หรือถ้านึกถึงใครในใจก็ให้รีบทบทวนชื่อคนนั้นทันที

(7). เว้นช่วง:  คนเราจะจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดีถ้าทบทวนซ้ำ (repeat) ในช่วงที่ห่างกัน เช่น 2-3 วัน ฯลฯ หลายๆ ครั้งได้ดีกว่าการท่องรวดเดียว
(8). คำย่อ:   คำย่อมีส่วนช่วยให้จำอะไรได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างที่อาจารย์ท่านยกมาเป็นภาษาอังกฤษ เช่น ถ้าจะจำตัวอักษรตัวแรกของคำต่างๆ 5 คำ
(E, G, B, D, F) ให้ลองนำอักษรตัวแรกมาแต่งเป็นประโยค เช่น Every good boys does fine. ฯลฯ
(9). ท้าทาย:   สมองคนเราเป็นเรื่องที่ต้อง “ท้า(ทาย)” หรือฝึกบ่อยๆ จึงจะใช้การได้ดี การฝึกสมอง เช่น การเล่นคำต่อ (crossword) หมากรุก
การฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัดทำงาน ฯลฯ มีส่วนช่วยฝึกสมองให้ตื่นตัว และใช้การได้ดีขึ้นในระยะยาว

(10). นอนให้พอ:  คนที่พักผ่อนนอนหลับเพียงพอมักจะจดจำอะไรๆ ได้ดีกว่าคนที่อดนอน ถ้าจะถนอมสมองให้ใช้ได้ดีไปนานๆ ก็ควรนอนให้พอ และอาจเสริมด้วยกิจกรรมฝึกสมาธิ เช่น ไทเกก-ไทชิ(ชี่กง) สมาธิกำหนดลมหายใจ ฯลฯ และออกกำลังเป็นประจำ
การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า คนที่รู้จักใช้เท้าออกกำลัง เช่น เดิน วิ่ง ฯลฯ มีสมองดีกว่าคนที่ใช้แต่หัวอย่างเดียว และไม่ค่อยได้ใช้เท้า จึงมีคำกล่าวว่า สมองดีเริ่มต้นที่เท้า
ถ้าถามว่า ความจำดีๆ ของคนเราเริ่มต้นที่ไหน คำตอบอาจจะเป็นว่า เริ่มต้นที่ความเชื่อมั่นว่า “เราทำได้” และลงมือทำวันนี้เลย



ขอขอบคุณข้อมูลในบล็อก "บ้านสุขภาพ"  โดย นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ 

เปลือกไข่มีค่า




เปลือกไข่นอกจากจะช่วยให้ไฟติดได้ง่ายขึ้น โดยที่ขณะก่อไฟให้ทุบเปลือกไข่จนแตกละเอียด แล้วใช้กระดาษห่อมัดไว้วางข้างใต้ฟืนจะทำให้ไฟแรงขึ้น หรือจะนำเปลือกไข่ไปย่างไฟให้เกรียม นำไปวางตรงที่มีมดชอบมาชุมนุมกัน มดก็จะไม่มาบริเวณนั้นอีกเลย

เปลือกไข่ยังมีประโยชน์ใช้สอยในด้านเป็นเครื่องมือทำความสะอาดสามารถนำไปใช้ขัดล้างอ่างล้างหน้าอ่างอาบน้ำและเครื่องใช้เซรามิคทั้งหลาย ใช้แทนแปรงล้างขวดหรือภาชนะที่มีปากแคบ หรือจะใช้เป็นปุ๋ยสำหรับต้นไม้รอบบ้าน

งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอ (Ohio University) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า เปลือกไข่อาจใช้เป็นวัตถุดิบช่วยผลิตก๊าซไฮโดรเจน เพื่อไปผสมกับก๊าซออกซิเจนที่ใช้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าของเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ได้ด้วยต้นทุนที่ถูกลง

งานวิจัยระบุว่า เปลือกไข่มีบทบาทสำคัญที่จะทำให้ไฮโดรเจนบริสุทธิ์สามารถแยกออกจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

โดยการเติมเปลือกไข่ลงไปในขั้นตอนการผลิตก๊าซไฮโดรเจน แคลเซียมออกไซด์ (Calcium oxide) ที่อยู่ในเปลือกไข่ จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ ทำให้กระบวนการผลิตสะอาดขึ้น และเมื่อนำเปลือกไข่ที่ใช้แล้วไปฝังดิน ก็จะเป็นการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นออก โดยไม่ปล่อยมันสู่ชั้นบรรยากาศอีกด้วย


งานวิจัยสรุปด้วยว่า ปริมาณขยะเปลือกไข่ที่คนอเมริกันทิ้งไว้ทั่วประเทศมีมากถึง 455,000 ตัน นั้นมากพอที่จะผลิตก๊าซไฮโดรเจนได้มากถึง 35 พันล้านลูกบาศก์ฟุตเมื่อเทียบเท่ากับก๊าซถ่านหิน ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานเชื่อว่าไฮโดรเจนอาจกลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในอนาคต แต่นักวิจัยจะต้องพัฒนาวิธีการที่เหมาะสมในการผลิตไฮโดรเจนจำนวนมากต่อไป

"10 วิธีในการผ่อนคลายความเครียด"


"10 วิธีในการผ่อนคลายความเครียด"1. ฟังเพลง หามุมสงบ
นั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ
2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์
ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย

3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ
อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ

 4. เขียนไดอารี่
การเขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ
 5. พลังแห่งการสัมผัส
ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
6. สร้างอารมณ์ขัน
พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเ X ่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง
 7. สูดกลิ่นหอม
รู้หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ
8. ไปตากอากาศ
หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น
9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน
ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ
10. จินตนาการแสนสุข
อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น 

"หมอนหนุน" .... สำคัญไฉน ??



ในการนอนหลับพักผ่อน ถ้าหมอนใบไหนหนุนนอนแล้วหลับสบาย ตื่นขึ้นมาไม่เมื่อยต้นคอ นั่นแหละ “หมอนในฝัน”
เนื่องจากกระดูกสันหลังคนเราจะโค้งคล้ายตัว S จึงจำเป็นต้องรักษาความโค้งงอตามธรรมชาติไว้ หน้าที่รองรับจึงตกอยู่ที่หมอนหนุนคอ ควรเลือกหมอนที่นุ่ม มีขนาดพอดี รองรับตั้งแต่คอจนถึงศีรษะ เส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 4-6 นิ้ว

การเลือกหมอนให้ถูกสุขลักษณะและเหมาะกับสรีระมีความสำคัญมาก 
“การเลือกหมอนที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอ ทำให้เราสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ หมอนที่เหมาะสมควรรับกับความโค้งของกระดูกต้นคอพอดี ถ้าหมอนมีความอ่อนนุ่มพอควร เวลานอนศีรษะควรจมไปในหมอน และตัวหมอนควรมารองรับตรงส่วนโค้งของด้านหลังของคอของเรา ทำให้คอไม่เงยหรือก้มเกินไป หมอนที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหาที่ก่อให้เกิดอาการปวดคอลงได้”
นอกจากการเลือกหมอนให้ถูกสุขลักษณะเหมาะกับสรีระแล้ว การดูแลรักษาหมอนก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหมอนบางใบต้องซักมือเท่านั้น บางรุ่นใส่เครื่องซักผ้าได้ สำคัญที่สุดคือ หมอนควรแห้งสนิท ถ้าเปียกชื้นอาจก่อเชื้อราได้ โดยมีข้อสังเกต คือ ไส้จะไม่เกาะเป็นก้อน นั่นแสดงว่าแห้งสนิทดี ทั้งนี้ หมอนแต่ละชนิดมีวัสดุบรรจุต่างกัน มีวิธีดูแลรักษา และแบรนด์ที่จำหน่าย ดังนี้
หมอนยางพารา ควรผึ่งลมเพื่อกำจัดกลิ่นอับและเลี่ยงแดดจัด ถ้ามีรอยเปื้อน ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดแล้วผึ่งลมให้แห้ง
หมอนเมมโมรี่โฟม เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำสบู่อ่อนๆ และปล่อยให้แห้ง กรณีโฟมด้านในเปียก ใช้แรงกดเพื่อรีดน้ำออกและปล่อยให้แห้ง อย่าลืมว่าต้องเลี่ยงแดดจัด
หมอนขนเป็ด ควรผึ่งแดดเป็นประจำครั้งละ 2-3 ชม.ตบหมอนเป็นประจำ เพื่อให้ขนด้านในพองฟู เมื่อซักแล้วให้อบแห้งอย่างน้อย 5 ชม.
หมอนขนห่าน ควรนำออกผึ่งแดดสม่ำเสมอ ครั้งละ 2-3 ชม.และหมั่นตบหมอนเป็นประจำ เพื่อให้ขนด้านในพองฟู เมื่อซักแล้วให้อบแห้งอย่างน้อย 5 ชม.
หมอนใยสังเคราะห์ ควรตบหมอนตามแนวทแยงทั้งสองด้านทุกวัน เพื่อให้พองฟู ซักเป็นประจำทุก 2-3 เดือน หลังซักให้ผึ่งไว้ในแนวนอน และไม่ควรบิดหมอน

เคล็ดลับคู่หมอน...
นอนสบาย ควรจำว่าหมอนทุกใบต้องมี “ปลอกหมอน” เพื่อป้องกันสิ่งสกปรก และช่วยยืดอายุการใช้งาน ปลอกหมอนที่ดีควรมีเส้นด้ายต่อตารางนิ้วมาก
อีกสาเหตุหนึ่งของโรคภูมิแพ้เกิดจากหมอนสกปรก มีไรฝุ่นซ่อนอยู่ วิธีกำจัดง่ายๆ คือ
-นำหมอนตากแดดนานเกิน 1 ชั่วโมง,
-ซักด้วยน้ำร้อนนาน 30 นาที, ซักแห้ง,
-รีดด้วยความร้อนราว 140 องศาเซลเซียส,
-ทำความสะอาดห้องนอนทุกวัน อย่าลืมอ่านวิธีใช้และดูแลรักษาหมอนแต่ละประเภทจากคู่มือ



ที่มา ...carebest.blogspot.com 

ทำไมตดไม่มีเสียงจะเหม็นแล้วตดมีเสียงจะไม่เหม็น



ทำไมตดไม่มีเสียงจะเหม็นแล้วตดมีเสียงจะไม่เหม็น

ลมตดของคนเราประกอบด้วยก๊าซต่างๆ 400 กว่าชนิดก๊าซหลักๆได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ไฮโดรเจน มีเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่ไม่มีกลิ่น และก๊าซคีทีน แอมโมเนีย ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นก๊าซที่มีกลิ่นเหม็นมีอยู่ในอุจจาระด้วย 

ก๊าซเหล่านี้เกิดตอนที่ลำไส้ย่อยอาหารแล้วสร้างขึ้นมา ก๊าซที่มีกลิ่นเหม็นเกิดจากการย่อยอาหารประเภทโปรตีนในลำไส้ เมื่อย่อยอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง ตดที่ปล่อยออกมาก็จะเหม็น แต่ถ้าอาหารที่มีตะกอนแป้งมาก ลมตดก็จะค่อนข้างแรง พอตดออกมาก็เลยเสียงดัง

วิธีแก้อาการง่วงเหงาหาวนอน



 อาการออฟฟิศซินโดรมอย่างหนึ่งที่รบกวนการทำงานของคนในสำนักงานคือ อ่อนเพลียง่วงเหงาหาวนอน ทำงานต่อไปไม่ไหว เหมือนกับอาการ ‘แบตหมด’
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นโรค แต่เป็นอาการที่ร่างกายพยายามจะบอกเจ้าตัวว่า ไม่สามารถทนความเครียด ความร้อน ความเร่งรีบต่อไปได้อีกแล้ว เป็นเพียงอาการเล็ก ๆ ทางสมอง ส่งสัญญาณมาว่า “จะขอพักละนะ”

นักวิทยาศาสตร์พบว่า อาการดังกล่าวเกิดจาก2 สาเหตุหลักคือ ออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมองลดต่ำลง และน้ำตาลในเลือดลดลง เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เซลล์สมองจะทำงานต่อไปไม่ไหว มันก็จะปิดตัว ไม่รับคำสั่ง ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงเหงา ดังกล่าว 
หากฝืนตัวเองให้ทำงานต่อไป ร่างกายก็จะประท้วงมากขึ้น จะเกิดอาการปวดศีรษะ วิงเวียน หากใช้กาแฟกระตุ้น ซึ่งคนทั่วไปทำเช่นนี้ ก็รังแต่จะทำให้ประสาทเครียด สมองสั่งงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งอาจจะเกิดอาการนอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท ฝันมาก ตามมา
ดังนั้นวิธีการแก้ไขอาการง่วงเหงาหาวนอน ไม่มีแรง ‘แบตหมด’ สามารถทำได้ดังนี้ ใช้ต้นไม้เพิ่มออกซิเจนในห้องทำงาน
 งดของหวาน กินอาหารแป้งเชิงซ้อน
เซลล์สมองต้องการน้ำตาลกลูโคสในการทำงานค่อนข้างมาก จึงจำเป็นที่ร่างกายต้องมีระดับน้ำตาลมากกว่า 80 มก./ดล. ดังกล่าว แต่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณไปกินน้ำตาล หรือน้ำหวาน หรือขนมหวาน
ตรงกันข้าม การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้เพียงพอ จะทำได้ต่อเมื่อคุณกินอาหารประเภทแป้งที่เป็นเชิงซ้อน เป็นอะไรที่ร่างกายต้องเสียเวลาย่อย เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด ลูกเดือย ขนมปังก็ต้องเป็นโฮลวีท หรือเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ที่ไม่ขัดขาว ระดับน้ำตาลในเลือดจึงจะเพียงพอ ให้สมองใช้
 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
 ฝึกหายใจทุกวัน
การฝึกหายใจทำให้ได้ผล 2 ประการคือ ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น และหากทำนานพอก็จะคลายเครียดได้ด้วย


ที่มา ... ขวัญเรือน